ช่อง 7 มีนโยบายเฉพาะว่าจะ "ต้อง" ถ่ายไปฉายไปเท่านั้นครับ เพราะคิดว่าเรตติ้งจะดีเพราะปรับบท (เพิ่มนางเอกเยอะๆๆๆๆๆๆ เพิ่มพระเอกเยอะๆๆๆๆ เพิ่มดาราคนนี้เยอะๆๆๆๆๆ เพิ่มคิวบู๊เยอะๆๆๆๆๆๆ ตามเรตติ้งแต่ละเบรคละคร หรือจะยืดตอนหดตอนตามใจฉันครับ) ดังนั้นจะไม่เปิดช่องว่างให้ผู้สร้างละครเตรียมการได้ล่วงหน้าครับ บทนั้นจะไม่ได้เขียนเกิน 5 ตอนแล้วก็จะใช้วิธีการเขียนรายตอนไปอาทิตย์ต่ออาทิตย์เพื่อตอบโจทย์ทางการตลาดเท่านั้นครับ
นอกจากนี้ช่อง 7 ยังมีกฏสำคัญหลายข้อที่ต้องคำนึงเวลาทำละครให้ช่องเช่น
- ไม่สน Action ของตัวละคร สนแค่ใบหน้า ใบหน้าจะต้องอยู่ในเฟรมชัดเจนเสมอ ไม่ต้องตัดรับคนที่ไม่สำคัญ (ให้เข้าร่วมเฟรมเอา แต่ไม่ต้องถ่ายเจาะนักแสดงสมทบที่ไม่เรียกเรตติ้ง)
- ไม่ต้องถ่ายการเดินทาง ขึ้นรถลงรถ กระทำกริยาระหว่างไดอาล็อกถ้าไม่จำเป็นสุดๆจริงๆ จะต้องโฟกัสให้หน้านักแสดงอยู่บนจอตลอดเวลา ไม่ต้องถ่าย Insert เท้า Insert มือ Insert กระดาษที่กำลังอ่านหรือเขียน .... จับที่ใบหน้าพอ
- ห้ามเงียบ ต้องมีเสียงดังที่สุด ทีวีช่อง 7 ในยุคปัจจุบันไม่ได้สู้กับเตารีดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสู้กับมือถือด้วย (คนดูไปเล่นมือถือไปน่ะครับ) ดังนั้นจึงต้องกรี๊ดให้ดัง ตะโกนให้มาก เรียกคนดูให้หันกลับไปดูทีวีให้ได้ตลอดเวลา
- ห้ามมืด ห้ามเล่นเงา ตัวละครหลักต้องสว่าง เด่น ชัดเจน อยู่ตลอดเวลา แสง Dramatic ไม่มีผลทางการตลาด (มีแต่ผลทางอารมณ์) ดังนั้นจึงไม่จำเป็นเท่ากับการเห็นหน้าที่ชัดและสว่างทั่วกัน
- นักแสดงต้องดูดีเสมอ .... หน้าตาแย่ หน้าตาเละเทะ ผมไม่สวย ทำให้คนไม่จดจำความงามของตัวละครหลัก ทำให้ขายโฆษณายาก ขายสปอนเซอร์ยาก ตลาดแมสไม่ชอบคนหน้าตาไม่ดี ไม่ดึงดูด และจะต้องมีพิมพ์ที่ดูดีที่สุด (โดยการตัดสินของผู้บริหาร - ความเห็นเพิ่มเติมส่วนตัว) เท่านั้นเป็นต้น (ยังมีกฏเหล็กอีกมากครับ)
ดังนั้นละครช่องเจ็ดถึงไม่สามารถมีช่องว่างสำหรับความผิดพลาดได้ครับ เราจึงเห็นจอดำเอย (ตำรวจเหล็ก) การถ่ายทำผิดพลาด ช่องโหว่โปรดักชั่นมากมาย แต่ด้วยความที่ช่องไม่ได้สนใจในส่วนนี้มากนัก (ความผิดพลาดมองข้ามได้หากเปรียบเทียบกับการที่ไม่เห็นหน้านักแสดงเรียกเรตติ้ง) ดังนั้นจึงมีผลกระทบน้อยกว่าต่อตัวช่องครับ ถ้าเรตติ้งตกก็ตัดปิดตัดจบไปเลยครับ .... เสียงบ่นเสียงด่า เสียงชมไม่มีผลใดๆต่อช่องหรอกครับ มีแค่เรตติ้งและเม็ดเงินจากสปอนเซอร์เท่านั้นที่ส่งผลต่อการทำสิ่งใดๆครับ
ผมเห็นใจทีมงานของละครนะครับ เพราะส่วนของการทำงานเบื้องหลังให้ช่องเจ็ดนั้น (และช่องอื่นๆด้วยครับ) ไม่ค่อยได้โรยด้วยกลีบกุหลาย จะต้องถูกบังคับด้วยข้อจำกัดที่ไม่สามารถเป็นไปได้ในประเทศอื่นๆใดนอกจากประเทศไทย (เช่นการยืดหดละครตามสั่ง เขียนบทตอนต่อตอน ถ่ายวันละ 40-50 ซีนโดยนักแสดงไม่รู้บทเพราะไม่มีคิวฝึกซ้อม ถ่ายแล้วก็ไม่มีเวลาตัด ต้องแบ่งซอยเป็นช่วงๆ ช่วงละ 5-10 นาทีให้ช่างตัดเป็นสิบๆคนมาตัดแล้วค่อยเอามาร้อยกันเอง เพื่อส่งเทปไปที่ช่องแบบเบรคต่อเบรค ..... ย้ำนะครับว่าส่งเทปกันเบรคต่อเบรค ไม่ใช่ตอนต่อตอนครับ ส่งเบรคหนึ่งขึ้นออนแอร์ เบรคสองกำลัง Export เบรคสามกำลังแก้สีแก้เสียง เบรคสี่กำลังร้อย เบรคห้ากำลังเช็คภาพเสียงทั้งหมด เบรคหกกำลังตัดต่อ เป็นต้นครับ)
แล้วละครตอนนึง ละครเย็น ตอนละ 5 แสน ละคร Primetime ตอนละ 8 แสน ถึง 2 ล้าน .... มันก็ไม่ได้คุ้มค่าขนาดที่จะเอาชื่อเสียงตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้น โปรโมตของทางช่องเจ็ดก็ไม่ค่อยดันผู้จัด (แบบช่อง 3 ที่ดันหมดทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง) แล้วก็ล้วงลูกหนักมากๆ
ผมเองเคยเสนอละครไปครับ แต่ท้ายสุดก็ดีใจที่ละครผมไม่ผ่าน เพราะหากผ่านผมก็คงเจอกับวังวนที่ไม่ค่อยต่างกันนักครับ คิดว่าหาช่องใหม่ๆในโลก Digital TV ปีหน้าทำน่าจะมีความสุขกว่าครับ ดาราช่องแต่ละคนก็ใช่ว่าจะให้ความร่วมมือ คิวก็แน่น ออกงานก็เยอะ บางคนเรื่องมากทำงานยาก บางคนเล่นแข็งเป็นสากกะเบือดินแต่ช่องก็ต้องการดันเพราะมันขายโฆษณาได้ ฯลฯ
สารพัดสารพันครับ : )
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
No comments:
Post a Comment
Give a comment ...