Myeongdong [Photos by David (randomwire)] |
Blog นี้ด้วยความกึ่งเป็น insider เขียนนิดหน่อย เพราะการที่เราทำงานในบริษัทที่นำเข้าเครื่องสำอางค์เกาหลี (ถ้าไปดูประวัติผมก็รู้ทันทีแหละว่าทำงานอยู่ไหน) ก็เลยพอรู้ Process การทำงานบ้าง ซึ่งในมุมมองแบบตรงไปตรงมา การที่เรามีโอกาสเดินทางไปที่แหล่งขายจริงๆที่เกาหลี และรับทราบราคาขายหน้าร้านในไทย ก็ฟันธงเลยทันทีว่าราคาแพงกว่า 2 เท่านั้นเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย แถมบางรายการแพงกว่าเป็น 2.5 เท่าด้วยซ้ำ
เพื่อไว้ตอบคำถามเพื่อนๆว่า ทำไมสินค้านำเข้าตัวนี้ถึงต้องคูณขึ้นไปขนาดนั้น ถ้ามานั่งมองกระบวนการจากภายในเชิงลึกแล้วผมตอบว่า การที่ราคาขายในไทยของแต่ละ Brand ต้องเป็นแบบนี้มันมีหลายประเด็นที่ผู้ซื้อในไทยอาจจะไม่ได้คิดถึงกระบวนการ และที่มาที่ไปของเหตุผลการเพิ่มราคาของสินค้าในหลายมิติดังนี้นะครับ
ต้นทุนสินค้า
แม้ว่าราคาต้นทุนสินค้าจริงๆเป็นข้อมูลที่ไม่เปิดเผย ที่แน่นอนคือราคาซื้อต้นทุนที่ได้ไม่ได้ต่างจากที่ขายหน้าร้านของเกาหลีมากนัก ในเกาหลีเอง ร้านเครื่องสำอางค์จะต้องถูกขายในราคาบังคับและทุกร้านเป็นเอกชนต่างทำเอง ไม่ใช่ตัวบริษัทใหญ่เป็นผู้ดำเนินการเปิดร้านขายปลีก โดย Skinfood, Etude, Misha และหลายแบรนด์ดังจะไม่ได้ลงมาเป็นผู้เล่นเอง ซึ่งจะทำตัวเป็นผู้กระจายสินค้าให้เท่านั้น กลไกราคาควบคุมจะถูกบังคับให้หน้าร้านไม่สามารถลดราคาแข่งกันจนเจ๊ง จึงเป็นกติกาที่เขาใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
แต่สำหรับการขายสินค้าออกมาให้ต่างประเทศ กลไกการควบคุมนี้ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ เพราะผู้ผลิตรู้อยู่แล้วว่าให้ตายยังไงก็ขายราคาเท่าที่หน้าร้านในเกาหลีไม่ได้ เพราะแค่ค่าขนส่งก็ทำให้ต้นทุนแซงหน้าไปแล้ว
ในบางครั้ง กรณีที่มีปัญหาจากงานผลิต หรือความต้องการสินค้าเกิดความผิดปกติ ผู้นำเข้าอาจจะต้องยอมนำเข้าด้วยการขนส่งทางอากาศ แม้ว่าต้นทุนจะสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับการขนส่งปกติทางเรือ แต่ในบางครั้งก็ต้องยอมเพื่อให้มีสินค้าเข้ามาได้ทัน ซึ่งต้นทุนการขนส่งนี้เอามาคิดรวมไม่ได้ ต้องเสี่ยงเอาเป็นครั้งๆไป
ภาษีศุลกากร
บางคนอาจจะเคยได้ทราบเกี่ยวกับความโหดของภาษีศุลกากรบางรายการมาก่อน เช่น รถยนตร์ทั้งคันนำเข้าทั้งคันเสียภาษี 300% หรือพวกสินค้าฟุ่มเฟือยเสียภาษี 100% (100% หมายความว่าเสียภาษีเพิ่มไปอีกเท่าตัวจากราคาสินค้านำเข้า) ในการประเมินพิกัดภาษีเครื่องสำอางค์หลายรายการถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งก็จะถูกประเมินภาษีเป็น 100% โดยอัตโนมัติ จะมีบ้างที่บางรายการสามารถขอกำหนดพิจารณาพิกัดในอัตราภาษีที่ต่ำกว่านั้น แต่ด้วยผู้ตรวจประเมินจากศุลกากรอาจจะมีดุลยพินิจต่างกันไปในแต่ละรอบ ซึ่งอาจจะประเมินว่าผู้นำเข้าประเมินพิกัดไม่ถูกต้อง ซึ่งบทลงโทษหากผู้นำเข้าเสียภาษีไม่ถูกต้องเผลอๆอาจจะโดนคิดค่าปรับภาษีพร้อมกับยอดภาษีย้อนหลังด้วยซึ่งไม่คุ้มอย่างแรง ดังนั้นการกำหนดรายการไว้ในแบบที่ไม่ใช่ขอยกเว้น (ยอมเสียภาษี 100% ขั้นสูงแบบเต็มๆตามเกณฑ์) จะปลอดภัยกว่าการมารอลุ้นว่าจะถูกเรียกเก็บค่าปรับภาษีหรือเปล่า
ผ่านไปแค่ 2 ข้อใหญ่ ราคาสินค้าแพงขึ้นมา 1 เท่าแล้วนะครับ ยังไม่ทันทำอะไรเลย
งานบริหารจัดการ
แม้โลกเราจะอยู่ในยุคโลกาภิวัฒน์ แต่หน่วยงานรัฐในไทยไม่ได้อยู่ในมุมที่มองเห็นโลกกว้างนัก การทำเอกสารต่างๆเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้ายังมีความซับซ้อนยุ่งยากในบางเรื่อง จึงต้องมีตัวแทนเข้าไปประสานเพื่อนำส่งข้อมูล (กระดาษ) กับหน่วยงานราชการต่างๆ ซึ่ง flow งานที่จะชนกับราชการจะอยู่ที่ประเภทสินค้าในการนำเข้า เช่น ถ้าเป็นเครื่องสำอางค์ก็อาจจะมีงานเกี่ยวกับอาหารและยา, ถ้าเป็นเครื่องอุปกรณ์ก็จะเป็นเรื่องของมาตรฐานอุตสาหกรรม ผู้นำเข้าต้องหาข้อมูลรับรองที่อาจจะอยู่ในภาษาอื่นๆแปลให้หน่วยงานเหล่านั้นอ่าน หรือถ้าไม่มีมาตรฐานจากต่างประเทศรับรอง เรามีหน้าที่ต้องไปจ้างหน่วยงานที่เชื่อถือได้ตรวจรับรองตัวสินค้านั้นเพิ่มเติม นอกจากใช้เงินแล้วยังใช้เวลาเยอะซะด้วยสิ
Skinfood tester |
การขาย
ร้านขายเครื่องสำอางค์เกาหลีไม่น่าจะมีเจ้าไหนอยู่ที่ห้องแถว การที่ร้านต้องไปอยู่บนห้างก็ต้องเป็นธรรมดาที่ประเด็นเรื่องของค่าเช่าและค่าไฟก็ต้องตามมา แต่นั่นคือข้อแลกเปลี่ยนและความแตกต่างของการขายในห้างสรรพสินค้าใหญ่ เพราะกลุ่มของผู้เข้ามาใช้บริการนั้นจะมีความแตกต่างกัน และในประเด็นเรื่องการขายอื่นๆ ก็ยังมีอีกมากที่ผู้ค้าแต่ละเจ้าต้องเข้าต่อสู้ด้วยการลดราคาบ้าง, ของแจกของแถม, หรือบริการ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ย่อมมีต้นทุนแต่มีความจำเป็นต้องทำ ทั้งนี้เพื่อชดเชยปัญหาด้านกลไกราคาที่สูงกว่าประเทศผู้ผลิตอย่างเกาหลีนั่นเอง
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
คงไม่ Happy ถ้าราคาขายสินค้านั้นไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะร้านเครื่องสำอางค์ประเภทนี้ไม่ใช่ร้านอาหารที่จะมารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% หลังการคำนวณยอดสินค้า ดังนั้นการกำหนดราคาสินค้าของทุกเจ้าจึงเป็นการรวมภาษีมูลค่าเพิ่มไปแล้ว
ด้วยการรวมทุกเรื่องเข้าด้วยกัน อาจจะช่วยให้เป็น Concept ในการคิดได้ว่า ทำไมเครื่องสำอางค์เกาหลีจะต้องแพงกว่า 2 เท่า หรือ 2 เท่าครึ่ง เพราะกลไกเบื้องหลัง รวมถึงตลาดและปัจจัยแวดล้อมต่างๆส่งผลให้เป็นไปเช่นนี้ ซึ่งบริษัทผู้ขายทุกคนรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า การที่ขายของแพงไปนั้นคนก็ไม่ซื้อ
คนอื่นๆที่ไม่อยากซื้อของแพงอาจจะเสี่ยงซื้อกับของหิ้วเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย หรือรอจังหวะฝากเพื่อนซื้อเข้ามาจากต่างประเทศ เป็นกลไกที่ทุกคนสามารถทำได้โดยเสรีอยู่แล้ว สำหรับเราๆท่านๆ ที่ซื้อสินค้าเหล่านี้ที่ผ่านทางหน้าร้านจะต้องรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าแพงกว่า แต่นั่นเป็นสิ่งที่อยากให้ทราบว่าราคาของสิ่งนั้นเป็นการซื้อที่เป็นขั้นตอนที่ถูกต้องการนำเข้าตามกฎหมายทุกประการ ซึ่งประโยชน์สำคัญอันเดียวที่ชัดเจนก็คงจะเป็นแค่ไม่ต้องเสี่ยงเจอกับของตก QC หรือสินค้าปลอมที่ copy จนเหมือนของจริงนั่นเอง
Written by Tiwakorn Laophulsuk
No comments:
Post a Comment
Give a comment ...