Credit card ในความเป็นจริงคือ ระบบการชำระเงินรูปแบบหนึ่งที่สถาบันการเงินและธนาคารได้นำมาใช้ ซึ่งหน่วยงานที่ออก Credit จะกำหนดวงเงินสูงสุดให้กับผู้ใช้ ซึ่งเป็นเงินล่วงหน้าเพื่อนำไปใช้ในการจ่ายค่าสินค้าหรือบริการได้ โดยมีเงื่อนไขในการชำระเงินเหล่านั้นคืนในภายหลัง
credit cards (images by 401K) |
หลังจากรู้แล้ว ตัว credit card นั้นก็ไม่ต่างจากการยืมเงินก้อนหนึ่งจากสถาบันการเงินฟรีๆ เปรียบเสมือนกับธนาคารให้เงินเรามากระบุงหนึ่ง แล้วเมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนดแล้ว เราต้องหาเงินกลับมาใส่กระบุงอันเดิมให้ได้จำนวนเท่าเดิมในระยะเวลาที่กำหนดนั้นๆ แล้วก็วนอยู่ในรูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าได้ทราบอย่างงั้นแล้ว Credit card จะมีประโยชน์อะไรกันล่ะ??
ประโยชน์ทางตรงของผู้ใช้
ถ้าเรามีการใช้จ่ายเป็นปกติ อย่างมีวินัย และใช้เงินเป็น รู้จักเก็บออม ระบบบัตรเครดิตเป็นตัวเลือกในการช่วยบริหารจัดการที่บันทึกการใช้จ่ายของรอบเดือนได้เป็นอย่างดี, ลองกลับมามองกรณีที่เราใช้จ่ายสินค้าจำเป็นที่เราต้องซื้อทุกสัปดาห์ แทนที่เราจะจ่ายเงินออกจากบัญชีออมทรัพย์ ณ ตอนนั้น การชำระโดยใช้ Credit card แทน เราจะสามารถเก็บเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ได้เต็มจำนวน และเราก็จ่ายออกในตอนชำระเงินคืนในครั้งเดียวเท่านั้น นั่นหมายถึง เงินในบัญชีออมทรัพย์จะเป็นแหล่งเงินสำรองที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และดอกเบี้ยของบัญชีออมทรัพย์ที่มีน้อยนิดอยู่แล้ว ระยะเวลาที่เก็บออมเงินนั้นไว้โดยไม่จ่ายออกทันที ก็สามารถเบ่งบานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นการเดินทางไปต่่างประเทศ ยังมีความปลอดภัยจากการที่ไม่ต้องหอบหิ้วเงินจำนวนมากๆ ใส่กระเป๋าจนตุง หรือเสี่ยงใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทาง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่เดินทางต่างประเทศบ่อย การใช้ Credt card เป็นเรื่องสำคัญเลยทีเดียวก็ว่าได้ อย่างน้อยๆ ก็ได้ลดความเสี่ยง โดยแลกกับค่าธรรมเนียมอัตราแลกเปลี่ยนที่เสียเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อย
ประโยชน์ทางอ้อมของผู้ใช้
ระบบคะแนนสะสม หรือส่วนลดจากการใช้จ่าย เป็นของแถมที่เราได้จากสถาบันการเงิน นั่นคือคำขอบคุณของผู้ออกบัตร ซึ่งเราสามารถเลือกใช้แต้มสะสมในการแปลงกลับเป็นยอดเงินเข้าสู่บัญชีบัตรฯ หรือนำไปแลกสินค้าหรือบริการตามเงื่อนไขที่ผู้ออกบัตรกำหนดก็ได้ หรือแม้กระทั่งการได้ส่วนลด เช่น การเติมน้ำมัน หรือช้อบปิ้งแล้วได้เงินคืน 1% ถึง 5% ก็เป็นประโยชน์ในการได้ลดการใช้เงินลงไป แทนที่จะควักกระเป๋าเต็มจำนวน
ใช้แล้วธนาคารได้อะไร เห็นให้สมัครกันจัง?
สำหรับคนที่มอง model แล้วคิดไม่ออกว่า ธนาคารหรือสถาบันการเงินได้อะไร หลายคนที่เพิ่งมีบัตรจะเห็นว่า ผู้ออกบัตรจะคิดดอกเบี้ยกรณีที่เราชำระล่าช้า คำตอบนี้คือเป็นคำตอบที่ใช่ส่วนหนึ่งแต่ไม่ได้เป็นคำตอบที่ถูกที่สุดนัก เพราะตัวสถาบันการเงินต้องรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายที่เกิดจากบัตรให้กับร้านค้าไปแล้ว นั่นคือเหตุผลในการชดเชยเงินที่คนส่วนใหญ่ที่ไม่ยอมจ่ายคืนให้สถาบันการเงิน คือโดนคิดดอกเบี้ยแพงระดับ 15-23% ที่ถ้าใครได้เป็นหนี้แล้วก็หัวโตเหมือนกัน
และการใช้บัตรในแต่ละครั้ง ผู้ออกบัตรจะได้รับค่าธรรมเนียมการใช้บัตร ซึ่งจะมีมูลค่าตั้งแต่ 1% จนถึง 3.3% แล้วแต่ว่าบัตรนั้นคือบัตรประเภทใด และตัวสถาบันการเงินนั้น ตกลงกับร้านค้าว่ามีค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ ดังนั้น เมื่อเราใช้บัตรแล้ว ไม่ต้องห่วง เพราะมีร้านค้ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้แล้วทุกๆครั้งเมื่อมีการใช้บัตร
แล้วร้านค้าเสียเงินแบบนี้ จะทำไปทำไม
ถูกต้องแล้วถ้าคุณเป็นร้านค้า ซึ่งโดยระบบคุณอยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหารชุดนี้ นั่นเป็นเพราะค่าธรรมเนียมต่างๆ, ดอกเบี้ยจากการผ่อนชำระ, ค่าระบบการสื่อสาร, รวมไปถึงการโกงการใช้งาน (fraud) ต่างๆนั้นล้วนเป็นร้านค้าต้องรับเคราะห์ทั้งสิ้น นั่นเป็นเหตุผลที่เราเดินไปห้างร้านหลายๆที่ จะเจอกับคำว่า "จ่ายบัตรชาร์จ 3%", "รับชำระด้วยบัตรขั้นต่ำ 500 บาท", หรือ "ไม่รับบัตรค่ะ" นั่นคือกรณีแย่สุดที่ลูกค้าพึงจะได้รับคำตอบจากพนักงาน เหล่านี้คือการหลีกเลี่ยงปัญหาและความเสี่ยงของกำไรที่ลดลงจากการจ่ายค่าธรรมเนียมของผู้ประกอบการ
ในมุมกลับกัน ถ้าคุณเป็นร้านค้าที่อยากจะรับบัตรเครดิต สำหรับประเทศไทยแล้วมีกลุ่มคนทำงาน 30% ที่มีบัตรเครดิต และจะเป็นการง่ายในการจูงใจเพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยด้วยคำว่า "ยินดีรับบัตรเครดิต" หรือการลดความเสี่ยงของการเก็บเงินสดจำนวนมากๆ ผ่านตัวบุคคลที่ทำงานหน้าร้านได้อีกด้วย นั่นหมายถึงค่าธรรมเนียมทีร้านเราเสีย ก็แลกกับความปลอดภัยจากการโดนจี้ปล้น หรือจากคนภายในขโมยเงินสดไปใช้
ในท้ายสุด ถ้าเราเข้าใจกลไกของระบบการเงินแล้ว เราก็พึงใช้ประโยชน์จากระบบให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองตามลักษณะของการใช้งาน ตามความเหมาะสม ไม่เกินเนื้อเกินตัว หรือยึดถือคติของเศรษฐกิจพอเพียงเอาไว้ เป็นอันดีที่สุด เพราะถ้าเราไม่ควบคุมหรือบริหารการเงินด้วยตนเองแล้ว มีบัตรเครดิตกี่ใบ หรือยอดรวมของแต่ละบัตรจะเยอะเท่าไหร่ก็ใช้ไม่พอ
Written by Tiwakorn Laophulsuk
21-Aug-2012
No comments:
Post a Comment
Give a comment ...