22 October 2001

U Life, Your Life

The information is the historic event since October 22th, 2001. And will be archived here. 

คงจะมีหลายคนที่เคยผันชีวิตเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย หลายคนคงกำลังใช้ชีวิตเพื่อการเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย และอีกหลายคนคงจะจบจากมหาวิทยาลัยไปแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคน ที่ไม่สามารถทำให้ชีวิตของตัวเองจบจากมหาวิทยาลัยได้

มหาวิทยาลัย เป็นสถานที่ที่สร้างก้าวสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของช่วงชีวิต คนในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มคนประเภทวัยรุ่น ที่มีความคิด ทัศนะคติ ความรู้สึกต่อบุคคล สังคม และหน้าที่การงานที่แตกต่างกันอย่างมาก และการรวมกลุ่มของคนประเภทนี้เข้าไว้ด้วยกัน ก็คงจะไม่แตกต่างจากการพยายามจับปูใส่กระด้ง ซึ่งหมายความว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำให้คนหนึ่งแสนคนที่อยู่ในวัยนี้ มีแนวคิดและมีและทัศนะคติไปในทางเดียวกัน

เรื่องราวที่จะเขียนต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่บอกเล่าผ่านกันมา ทั้งความคิดเห็นที่เขียน เป็นทั้งของผู้เขียนเอง และความคิดเห็นของคนอื่น มาผสมๆกันไป เรื่องราวก็คงไม่มีอะไร นอกจากความรู้สึกระบาย ให้คนอื่นได้รับรู้ เข้าใจความเป็นไป และธรรมชาติของคนในวัยเรียนมหาวิทยาลัย

ก้าวแรกสู่มหา-ลัย
คงเป็นไปได้ยาก ที่นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย จะปรับตัวเข้ากับรูปแบบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ปัญหาใหญ่ที่คนส่วนมากเป็นกันก็คือ ความตื่นเต้นดีใจที่ "ค้าง" จากผลการสอบที่เป็นไปตามหวัง และ ความเสียอกเสียใจที่ "ค้าง" จากการสอบที่ไม่ประสบความสำเร็จ จุดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ คนที่จะดูแล และเข้าใจได้ดีที่สุด เห็นจะเป็นครอบครัวของคนนั้นเอง ที่จะต้องให้จุดยืน และคำแนะนำว่า ควรจะทำตัวต่อไปอย่างไร

เมื่อเข้าเรียน ครู และอาจารย์ที่ทำการสอบคาบแรก มักจะเกริ่นด้วยประโยค ดังต่อไปนี้

"การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ในการจด Lecture นั้น จะไม่เหมือนชั้น ม.ปลายนะ"
"ชั่วโมงเรียนของเราจะยาวกว่าการเรียน ม.ปลาย คือเป็น 3 ชั่วโมง"
"นักศึกษาจะมีเวลาว่างต่อวันมาก ดังนั้นครูคิดว่า ทุกคนน่าจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์"
และอื่นๆ อีกมากมาย ที่มักจะเป็นการสร้างกระแส "ตื่น ม." ให้กับนักศึกษาใหม่

แต่ในความเป็นจริง ข้อมูลที่ครูอาจารย์พยายามบอกเล่านั้นเป็นความจริงที่อาจจะกดดัน แต่อย่างไรก็ไม่เป็นการยาก ที่ทุกคนจะเรียนรู้และทราบว่า การเรียนในแต่ละครั้งนั้น ถึงแม้จะยาว และมีเนื้อหาแน่นเพียงใด ในช่วงเวลาใกล้สอบ ก็จะมีเวลามากพอ ในการอ่านหนังสือ ให้พอทำข้อสอบได้เสมอ

คนที่ปรับตัวในรูปแบบการเรียนการสอนนี้ไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะว่า การคบเพื่อน การหากลุ่มคนที่พอจะอยู่ด้วยไม่ได้ ทำให้ขาดคำแนะนำ การแก้ปัญหาก็คือ พยายามที่จะสร้างความรู้สึกที่ดีต่อเนื้อหาวิชาที่เรียน และพยายามรับความช่วยเหลือ หรือให้ความช่วยเหลือต่อเพื่อนที่เรียนด้วยตามสมควร และควรจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากเพื่อนนักศึกษาคนอื่นๆ บ้าง แต่ผู้เขียนเห็นว่า เพื่อนที่จะให้คำแนะนำดีที่สุดนั้นก็คือ คนที่เคย "ซิ่ว" มาก่อน จะเป็นคนที่สร้างภาพของการเรียนในมหาวิทยาลัยให้กับเราได้ ดีที่สุด ฉะนั้น ลองมองหาเพื่อนที่เคยมีประสบการณ์การเรียนในมหาวิทยาลัยมาก่อน จะช่วยให้ภาพของการเรียนในสถานที่แห่งนี้ ดูกว้างขึ้น

รับน้องใหม่
กิจกรรมมาตรฐาน ของมหาวิทยาลัย ซึ่งผู้จัดนั้น เป็นรุ่นพี่ของคณะนั้นๆเองนั่นและ รูปแบบการรับน้องจะแตกต่างกันไป และมีการจัดกิจกรรมตามลำดับชั้น การรับน้อง อาจจะเกิดได้ถึง 3 - 4 ครั้ง (ทั้งๆที่คนที่นั่งข้างๆ มันก็หน้าเดิมนั่นแหละ) การรับน้องอาจจะเกิดขึ้นในหลายโอกาส เช่น รับน้องรวมของมหาวิทยาลัย 1 ครั้ง รับน้องของคณะ 1 ครั้ง รับน้องของสาขา อีก 1 ครั้ง ยิ่งถ้ามีกลุ่ม หรือโต๊ะกลุ่ม ก็อาจจะเกิดการรับน้องอีก 1 ครั้ง

Thammasat University, Activities
จุดประสงค์ของการรับน้องก็คือ สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรุ่นพี่กับรุ่นน้อง และทำให้รุ่นน้องได้ทำความรู้จักกันเร็วขึ้น ส่วนจุดประสงค์ในทางปฏิบัติก็คือ เพื่อความมันส์ สะใจของรุ่นพี่ที่เป็นคนสร้างฐาน เพื่อหาวงเหล้าของรุ่นพี่ในปีสูงๆ และเป็นการทำตามหน้าที่ ในแบบฉบับของรุ่นน้องที่ดี ทำหน้าแบ๊วว่าเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ดังนั้น ในการเข้ากิจกรรมรับน้อง ก็ขอให้เข้าไปทำกิจกรรมตามสมควร และควรยึดหลักในเรื่องของความปลอดภัยต่อตนเองเป็นหลัก หรือ อย่าพยายามเล่นอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าตามรุ่นพี่ เพราะบางทีรุ่นพี่ ก็ไม่ได้โตไปกว่าเราเท่าไหร่หรอก

กิจกรรมรับน้องแบบหนักๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยให้เราจดจำ(ความรุนแรง)ในครั้งนั้นๆได้ ถ้าการทำกิจกรรมนั้น ไม่ส่งผลเสียต่อด้านร่างกายและจิตใจ แต่คนที่เป็นอาจารย์ หรือผู้ใหญ่ เขาก็กลัวกันว่า รุ่นพี่จะเล่นอะไรน้องแรงๆ แล้วน้องมันก็เกรงใจปล่อยให้รุ่นพี่ลุยเละไป แต่ในสิ่งที่ดีที่สุดนั้นก็คือ ทั้งพี่ทั้งน้อง ควรจะทราบอยู่แก่ใจเองว่า อะไรควร อะไรไม่ควรด้วยตนเองนั่นแหละ และพยายามศึกษาสิ่งที่เคยผ่านมาของวัฒนะธรรมรับน้องที่นั้นๆให้ได้คือดีที่สุด

กิจกรรมรับน้อง จะเป็นเรื่องที่เข้ามาให้เป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจกันเล่นๆและแรกๆ เมื่อเข้ามาในมหาวิทยาลัย ระยะเวลาของกิจกรรมอาจจะนานจนกระทั่งเหลือเวลาเพียงน้อยนิดก่อนจะสอบกลางภาค คำแนะนำที่ดีที่สุดในตอนนี้คือ ขอให้ทำกิจกรรมในระดับที่เหมาะสม ไม่แย่งเวลาเรียนมากเกินไป และเหลือเวลาที่จะไปอ่านหนังสือบ้าง ควรจะกันเวลาในช่วง 2 สัปดาห์แรกก่อนสอบไว้ กล่าวคือ ไม่ต้องออกรอบ หรือออกไปทำกิจกรรมอะไรให้มากนั่นแหละ ทั้งนี้ก็เพื่อถนอมเวลา และรักษาสุขภาพนั่นเอง

เด็กหอ
หอพักนักศึกษา เป็นสถานที่พักใจแทนบ้านอีกแห่งหนึ่งของนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย การพักอาศัย และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในหอ เป็นเรื่องราวของตัวเราเองมากกว่าจะเป็นเรื่องของมหาวิทยาลัย ต้องอาศัยการปรับตัว เพราะบางคนไม่เคยสักครั้งในชีวิตที่จะไปนอนร่วมกับเพื่อนคนอื่นๆ เป็นเดือนๆ การพักหอนั้น มันก็มีข้อดีและข้อเสีย ลองดูกันว่าข้อดีและข้อเสียนั้น คืออะไร

ข้อดีของการพักในสถานที่ที่ใกล้สถานศึกษาก็คือ นักศึกษามีเวลาเหลือมากขึ้น (อย่างมาก) ในการที่จะเดินทางจากที่เรียน กลับมาที่พัก และเดินทางจากที่พัก ไปยังที่เรียน บางคนได้กำไรจากเวลาตรงนี้มากกว่าวันละ 4 ชั่วโมง แทนการเดินทาง หรือขึ้นรถประจำทางกลับบ้าน ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ลดปริมาณการจราจร และได้เวลาในการที่จะอยู่ในคณะ หรือพบอาจารย์ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา เมื่อนับข้อดีได้ 5 ข้อแล้ว ก็ขอให้อ่านข้อเสียซะก่อน

Thammasat University, Activities
ในข้อดีที่กล่าวมา ในบางครั้ง กลับสร้างข้อเสียเอง เช่น การมีเวลาเหลือ ก็นำเอาเวลาไปนัดสังสรรค์กับเพื่อน หรือ ชะล่าใจในเรื่องของการเดินทาง บางครั้งคนอยู่หอ กลับเดินทางไปถึงห้องเรียนช้ากว่าคนที่ไม่อยู่หอเสียอีก คนพวกนี้จะมีประโยคประจำใจที่ว่า "ห้องเรียนอยู่แค่เนี้ย เรียน 9 โมง ตื่น 9 โมงก็ยังไปทัน" แม้กระทั่ง การที่เด็กนักศึกษาอยู่หอพัก ทำให้ได้พบเพื่อนในเวลาพิเศษ เช่น ตอนดึกๆได้ อีกทั้งการอยู่หอยังเป็นการอยู่ห่างไกลผู้ปกครอง ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ไกลหูไกลตา ซึ่งผู้ปกครองแทบจะไม่มีทางรู้เลยว่า ลูกหลานของเรานั้น ทำอะไรอยู่กับใคร

ข้อแนะนำของเพื่อนๆ ชาวหอก็คือ พยายามคบกับเพื่อนที่ไม่ค่อยเล่นมากก็จะดี ไม่เช่นนั้นมันจะพาตั้งวงเหล้าทุกคืน เล่นไพ่บ่อย ออกไปเที่ยวกลางคืนบ่อย หรืออะไรก็ตามที่อาจจะบั่นทอนเวลานอนอันแสนสุขสบายได้ และพยายามนอนให้เป็นเวลา ตื่นสายได้ แต่อย่าตื่นถึงเช้า เพราะคุณภาพชีวิตที่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับเวลานอนเช่นกัน

ยังไม่มีแฟนเชิญทางนี้
ด้วยการที่เป็นวัยรุ่น และกำลังก้าวเข้าสู่ผู้ใหญ่ หนุ่มๆ ก็จะมองหาสาวๆ และสาวๆ ก็จะมองหาหนุ่มๆ เหมือนกัน อย่างไรก็ดี เรื่องแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นกับคนบางคนเท่านั้น แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดกับตัวเราได้

ชีวิตในมหาวิทยาลัย เป็นช่วงเวลาที่มีเวลาว่าง และสามารถทำกิจกรรมที่มีอิสระได้มากขึ้นกว่านักเรียนในระดับมัธยม ถ้าคนที่มีเวลาเหลือได้เอาเวลาไปศึกษาถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ก็จะทำให้ได้รู้จักประโยคที่ว่า "เป็นคู่รักแท้แล้ว ย่อมไม่แคล้วกัน" นั่นคือ การมองหาแฟน, เพื่อนสนิท, คนรู้ใจ, คนรัก และอีกหลายรูปประโยคที่หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั่นแหละ

การหาเพื่อนสนิท ถ้ามีก็จะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี นั่นก็คือ ช่วยสนับสนุนการทำงาน สนับสนุนการศึกษา ช่วยให้งานบางอย่างที่ทำคนเดียวไม่ได้ สำเร็จได้ด้วยดี ถ้าเพื่อนร่วมงานหน้าตาดี และนิสัยดีด้วยอีก ก็อาจจะมองเลยไปถึงว่า ถ้าดีอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะเหมาะที่จะเป็นพ่อหรือแม่ของลูกอีกทางหนึ่ง

ปัญหาที่เกิดอย่างมาก และเป็นที่นิยมกันในวัยเรียนก็คือ ความสัมพันธ์ที่อาจจะมากไปสักหน่อยกับเพื่อน หรือกับคนในวัยเดียวกันที่เรียนในมหาวิทยาลัยด้วยกัน และบางครั้ง อาจจะจะเรื่องของ Sex ซึ่งเกิดได้กับกลุ่มนักศึกษาที่อาจจะอยู่หอพักรวม หรือกึ่งรวม (กึ่งรวมหมายถึง โครงสร้างหอพักแยกชายหญิง แต่บนหอมีทางเชื่อมกันซะงั้น) ไม่ก็เป็นพวกที่ชอบเที่ยวกลางคืน แต่สิ่งที่เกิดนี้ เป็นเรื่องที่อาจจะมองได้ว่า เป็นเรื่องปกติในสังคมปัจจุบัน

คำแนะนำที่สามารถให้ได้ในตอนนี้ก็คือ หาแฟนได้ แต่อย่าเพิ่งเปลี่ยนปริญญาเป็นภรรยา หรือสมุดเป็นสามี เพราะบางครั้งการมีเรื่องในลักษณะนี้ อาจจะสร้างปัญหาให้เกิดกับชีวิตการศึกษาได้อย่างง่ายดาย แต่ขอให้ทำความรู้จักกันแบบเพื่อน จะสนิทมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับพรหมลิขิต (ว่าไปโน่น) อย่าไปกังวลใจกับเรื่องของความรัก จนไม่สามารถควบคุมสมาธิให้อยู่กับหน้าที่สำคัญของตนเองคือการเรียนได้

Parttime VS การบ้าน
รูปแบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยอีกแนวหนึ่งก็คือ การทำการบ้าน ที่ต้องใช้ความสามารถ และระยะเวลาทำนานกว่าการบ้านรายข้อที่เคยทำมาตอนมัธยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดทำเป็นรายงาน บวกกับการนำเสนอกับอาจารย์ ซึ่งต้องอาศัยความสามารถของตัวเราเองในการสร้างผลงานให้ดีเป็นอย่างมาก

การมีงานทำนอกเวลาเรียน หรือที่เรียกว่างาน Part Time นั้น นับว่าเป็นรูปแบบการใช้เวลาที่ว่างอยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างมาก เพราะการทำงาน Part Time จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนทำรู้จักสภาพของสิ่งแวดล้อมของคนทำงานได้เป็นอย่างดี แต่ การทำงาน Part Time ที่มีเวลาบีบเวลาพักผ่อนให้น้อยลงไปนั้น ไม่ใช่ผลดี เพราะทำให้ไม่มีเวลาในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชาเรียนอื่นๆเลย บางครั้งก็อาจจะทำให้เพื่อนที่ต้องการรวมกลุ่มเพื่อทำงานมองข้ามเราไปก็ได้ เหตุผลก็เพราะ ไม่มีเวลาว่างทำงานให้กลุ่มนั่นเอง

Thammasat University
ในเรื่องของการจัดกลุ่มกันทำงานก็คือ พยายามหาเพื่อนที่พอคุยกันรู้เรื่อง มีเวลาคุยกันมากพอสมควร และต้องติดต่อกันง่าย ไม่ต้องเลือกคนในกลุ่มที่เก่ง เพราะถึงแม้จะเก่งหรือไม่เก่งก็ตามก็ไม่ดีไปกว่าการเข้าหากันที่ดี การช่วยให้กำลังใจคนที่ทำงานมากเป็นเรื่องที่ดีเพราะอย่างน้อยจะช่วยให้คนที่ทำงานมากกว่า ไม่รู้สึกว่าถูกเอารัดเอาเปรียบในเวลาทำงาน รวมทั้งควรมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันอย่างสม่ำเสมอ เพราะในอนาคต เพื่อนในกลุ่มที่เคยทำงานด้วยกันนี่แหละที่อาจจะช่วยเราได้ในสังคมแห่งการทำงานจริงๆภายภาคหน้า

สำหรับงานที่มีการนำเสนอต่ออาจารย์ ผู้เขียนมีเทคนิคพิเศษในการเลือกเวลาก็คือ ควรเลือกเวลาก่อนพักเที่ยง หรือ เวลาก่อนเลิกงาน จะสามารถช่วยให้กลุ่มที่นำเสนอตอบคำถามกับอาจารย์ได้น้อยลง ซึ่งได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ต้องลองแย่งเวลาทองนี้กันเอาเอง

สอบ สอบ สอบ
เมื่อเข้าใกล้ช่วงสอบ จะเกิดคนอยู่ 4 ประเภท ก็คือ

1. ประเภทไม่อ่าน และไม่คิดจะอ่านหนังสือเลย คนพวกนี้จะสร้างความสนุกสนานได้มาก เฮฮาปาร์ตี้ แต่ทำให้เกิดปัญหาตามมาคือ อ่านหนังสือไม่ทัน คนกลุ่มนี้จะนิยมรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนสอบ

2. ประเภทไม่อ่าน แต่ไปแอบอ่านเอง คนพวกนี้จะมีเวลาอ่านหนังสือเป็นส่วนตัว เช่น ในห้องพัก หรือเวลากลับบ้าน การทำแบบนี้ช่วยให้ผู้ปฏิบัติมีความรู้ได้ดี การทำแบบนี้ ไม่มีผลเสียอะไร แต่อาจจะทำให้เพื่อนไม่ชอบหน้าได้ คนพวกนี้จะชอบทานกาแฟดำ เพื่อให้สามารถอ่านหนังสือได้ในยามดึกสงัด

3. ประเภทอ่านอย่างรุนแรง อ่านหมดวัน อ่านได้ทั้งวี่ทั้งวัน ในคนกลุ่มนี้ถ้าเข้าใกล้มากจนเกินไป ก็อาจโดนกระโดดงับคอจนถึงแก่ชีวิตได้ ขอให้หลีกเลี่ยงในการเข้าไปทักให้คนพวกนี้ตกใจ การอ่านแบบนี้เหมาะกับคนที่ต้องการจะนำความรู้ไปสอบในเช้าวันต่อไป คนกลุ่มนี้จะผันตัวเองให้ทานกาแฟดำและเข้มข้นบวกกระทิงแดงเป็น เพราะการอ่านอาจจะดำเนินการถึงเช้าในอีกวันหนึ่ง

4. ประเภทรวมหัวกันอ่าน เป็นวิธีการอ่านหนังสือที่สามารถกระจายคะแนนกันได้ดีที่สุด เพราะจะช่วยให้ทุกคนมีความรู้เข้าใกล้เคียงกัน และช่วยให้เรารู้ในสิ่งที่เราไม่เคยรู้ และเราได้บอกสิ่งที่เรารู้ให้กับผู้อื่น วิธีการอ่านแบบนี้ดี แต่อาจจะเสียเวลามากหน่อย ดังนั้นถ้ากลุ่มเราจะใช้วิธีการอ่านหนังสือแบบนี้ ก็ควรที่จะเริ่มกันแต่เนิ่นๆ คนกลุ่มนี้จะนิยมทานน้ำเปล่า และขนมในถุงก๊อบแก๊บ

การทำคะแนนสอบในช่วงกลางภาค หรือปลายภาค เป็นปัจจัยที่สำคัญ อาจจะสำคัญกว่าคะแนนที่ได้จากการทำงานส่งอาจารย์ด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ดีที่เราไม่ควรจะเสียเวลาไปกับกิจกรรมอย่างอื่น จนกระทั่งไม่มีเวลาอ่านหนังสือเลย เพราะการอ่านหนังสือ และทบทวนเนื้อหากับเพื่อนๆบ้างก็เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้พอทำข้อสอบได้มากพอสมควร

ในข้อสอบระดับมหาวิทยาลัย การตอบคำถามด้วยความคิดของตนเองเป็นสิ่งที่ต้องกระทำอย่างยิ่ง เพราะมีน้อยนักที่ข้อสอบจะมาในลักษณะของการเลือกคำตอบที่ถูก พยายามเขียนคำตอบให้อ่านง่าย และอยู่ในพื้นที่ที่ล่อความสนใจผู้ตรวจ เช่น ขอบกระดาษทางขวาใช้เป็นที่ทดเพื่อบอกว่าหนูก็คิดเลขนะคะอาจารย์, กล่าวสรรเสริญอาจารย์ในท้ายกระดาษตอนล่าง, ทวนโจทย์ด้วยคำพูดเราอีกครั้งที่ท้ายโจทย์ที่พิมพ์มาเพื่อบอกว่าผมอ่านโจทย์เข้าใจอย่างนี้ จากการค้นหาความจริงแล้วพบว่า ผู้ตรวจคำตอบมีแนวโน้มที่จะให้คะแนนดีกว่า เมื่อได้ทานกาแฟหลังทานอาหารเที่ยงใหม่ๆ ดังนั้น เราควรที่จะซื้อกาแฟกระป๋องในรสที่อาจารย์ชอบ และแนะนำว่า อาจารย์ควรจะไปแช่ไว้ในตู้เย็น จะเป็นผลดีต่อคะแนนรวมในชั้นเรียนเรา

สถานะอันน่าเกรงขาม Warning, Probation and Dismiss 
เรื่องที่น่าสนใจกับความเป็นความตายของอนาคตทางการศึกษาก็คือ ข้อความเตือนเมื่อเรามีคะแนนเกรดเฉลี่ย (Grade Point Average: GPA) ไม่ถึงตามข้อกำหนดของมหาวิทยาลัย และมีแนวโน้มสูงที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "รีไทร์"

Warning 1 เป็นระบบเตือนความรู้สึกว่า คะแนนเกรดเฉลี่ยของเรานั้นเริ่มต่ำกว่า 2.00 แล้ว โดยมากมักเกิดได้ง่ายในช่วงการเข้ามาใหม่ หากเกิดเร็ว การแก้ไขอาจจะทำได้เร็ว เพราะปริมาณหน่วยกิจที่สะสมนั้น ยังมีอำนาจการถ่วงดุลย์น้อย แต่ขอให้ตั้งสติดีๆ ว่าปัญหานี้ยังมีทางแก้ไขได้ คนที่ได้รับ Warning1 ต้องอธิบายให้กับผู้ปกครองให้เข้าใจ และให้ตั้งจุดยืนในการแก้ปัญหาให้ได้ และจงใช้ความใจเย็นในการแก้ปัญหานั้น

Warning 2 เป็นการเตือนภัยครั้งที่สองว่า คุณชักจะเริ่มอาการไม่ดีแล้วนะ คนที่ได้รับ Warning 2 ถ้ามีคะแนนของ GPA ที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับ Warning 1 นั้น ก็ขอให้พยายามรักษาความดีนั้นเอาไว้ และพยายามที่จะแก้ปัญหาต่อไปเพราะถือว่าคุณมีแนวโน้มที่ดี แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น เราควรหาทางเลือกที่ดีกว่า คือ ลองหาที่เรียนใหม่ เพราะบางครั้ง สาขาวิชาที่เรากำลังศึกษาอยู่ อาจจะไม่ใช่สาขาวิชาที่เหมาะสมกับเรามากนัก หรือ ถ้าจะสู้ต่อไป ต้องหาข้อมูลของเนื้อหาวิชาที่ลงต่อในเทอมถัดไปอย่างละเอียด เช่น อาจารย์ผู้สอน, เกรดที่จะได้รับ, ตัวต่อ เพื่อนำมาแก้ไขปัญหานี้

Probation การเตือนภัยในระดับสุดท้าย ถ้าเทียบกับรหัสทางการทหารแล้วน่าจะเรียกได้ว่า เป็น Code Red คือ ต้องทุ่มกำลังในการโจมตีอย่างหนัก เพราะการพลาดที่จะทำคะแนนเฉลี่ยเพิ่มในครั้งนี้ หมายถึงการหลุดจากสถานภาพการเป็นนักศึกษา การแก้ไข Probation อาจจะทำได้ยาก หากเกิดในช่วงที่มีหน่วยกิจของการเรียนสะสมอยู่มาก สถานภาพนี้จะพบมากในนักศึกษาปี 3 เทอมที่ 1 การแก้ไขปัญหานี้คือ การหาวิชาเลือกที่สามารถทำเกรดได้อย่างแน่นอนมาลงป้องกันไว้ก่อน โดยอาจจะคำนวณไปถึง ระยะเสียเวลาที่อาจเกิดในการไปลงวิชาบังคับในสาขาเพิ่มในปีถัดๆไป การแก้ปัญหานี้ อาจจะทำให้การเรียนจบทำไม่ทันในเวลาที่กำหนด แต่ถ้าจะสู้กับปัญหานี้แล้ว ก็ขออย่าให้กังวลใจกับอนาคตเลยดีกว่า

หลุด Warn หลุด Pro เป็นสัญญาณบอกว่า คุณทำได้ที่จะสร้างปาฏิหารย์ให้เกิด แต่ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ เพราะการหลุดจากสถานภาพนี้สามารถบอกได้เลยว่าคุณมีหน่วยกิจสะสมมาก ในระหว่างที่ GPA ยังขึ้นสูงไม่ถึง 2.2 - 2.3 ก็อย่าเพิ่งวางใจ ขอให้ทำตัวเสมือนเป็นเด็กติด Warn ไปอีกสักระยะ เพื่อสร้างความมุ่งมั่นให้กับตัวเองต่อไปในการทำให้ดีขึ้นไปอีก

Dismiss เป็นสัญลักษณ์ที่บอกถึงความพ่ายแพ้(แต่ไม่ย่อยยับ)ที่เราได้รับ ในการถูกคัดออกจากมหาวิทยาลัยเป็นแค่การคัดออกจากระบบเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายถึงการคัดออกจากสังคม หรือจากเพื่อนฝูงที่มีอยู่ การแก้ปัญหานี้ทำได้คือ การหาทางเลือกใหม่ให้กับตัวเอง และปรับตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ การเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เป็นทางออกที่ดี และให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด เพื่อแลกกับเวลาที่เสียไป

ก่อนจาก
ชีวิตในมหาวิทยาลัย เป็นช่วงชีวิตที่สร้างสีสันให้กับชีวิตมากที่สุด ไม่เคยมีใครเลยสักคนที่จบจากมหาวิทยาลัยไปแล้วจะไม่สามารถเล่าเรื่องสนุกๆ ออกมาให้ฟังอีกครั้งได้ เพราะสีสันของชีวิตในสถานที่ที่มีทั้งเพื่อน ทั้งคนรู้จัก และความสนิทสนมตลอดช่วงเวลาที่มีนั้นมีมากมายเกินกว่าจะบรรยาย พยายามสร้างสีสันที่สดใสให้กับชีวิต ด้วยความตั้งใจ ความมุ่งมั่น และความพยายาม พร้อมๆกับการสร้างมิตรภาพให้งอกงามกับเพื่อนทุกคน อย่าพยายามสร้างสีสันที่หม่นหมองให้กับตนเอง สร้างศัตรูจากเพื่อนใกล้ตัว หรือสร้างชื่อในทางลบสถาบัน เพราะการทำเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องสนุกที่จะนำไปเล่าต่อ

นักศึกษานั้น หมายถึง ผู้ที่ต้องทำการศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ให้กับตนเอง เพราะการเป็นนักศึกษา ระบบการเรียนในมหาวิทยาลัยจึงมอบ "เวลาที่ว่าง" ให้กับทุกคน เราควรนำเวลาที่เหลือมาแบ่งปันเพื่อใช้อย่างเกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง เพราะถ้าเราปล่อยเวลาที่ว่างให้เป็นความว่างเปล่าต่อไปนั้น ถือว่า เราได้สูญเสียสิ่งที่มีค่านั้นไปแล้ว ขอให้ทำหน้าที่การเป็นนักศึกษาที่ดีต่อไปนะครับ

Written by Tiwakorn Laophulsuk
22-Oct-2001 23:05:00

Development Story Witten on 11-Mar-2013

กลับมาอ่านเรื่องเขียนเก่าๆก็สนุกดี แต่โลกยุคใหม่ เด็กรุ่นน้องมีความคิดที่เดินหน้าไปกว่าตอนที่เราเขียนมากแล้ว ถ้าจะอ่านเรื่องนี้คงต้องไปอ่านตั้งแต่มัธยมเลยน่าจะเหมาะกว่า สำหรับงานเขียนตัวนี้ ขอยกสิทธิความเป็นเด็กซิ่วของตัวเราเอง และหลายๆสถานการณ์ที่เราเคยเจอมาเอง ถ้ามีใครได้มาอ่านบ้างก็ถือว่า Share ประสบการณ์กันไปครับ

No comments:

Post a Comment

Give a comment ...